This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 2 (8-14 ก.ค. 2555)


  13 กรกฎาคม 2555

แบงก์กรุงเทพ คาดแบงก์ชาติยังไม่ปรับดอกเบี้ย 25ก.คนี้


นักวิชาการ เชื่อธปท. ยังไม่ รีบลดดอกเบี้ย เหตุประมเมินยังรับมือได้ ขณะที่มองการเมืองกระทบศก.แค่1%

         นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  กล่าว ว่า จากตัวเลขการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ชะลอลง จึงไม่แปลกใจที่หลายประเทศได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางเกาหลีใต้ก็ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อดูแลภาพรวม เศรษฐกิจเช่นกัน  หลังจากที่จีนและธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ได้ปรับลดลงไปก่อนหน้านี้
        สำหรับ ประเทศไทยนั้น เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ติดตามดูอยู่ แต่คงยังไม่เห็นการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนัดถัดไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 ก.ค.นี้ โดยเชื่อว่าแบงก์ชาติ คงอยากรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจโดยภาพรวมก่อนว่าจะเลวร้ายลงกว่าเดิมหรือไม่
แบงก์ชาติคง มองว่า สถานการณ์ในขณะนี้ยังรับมือได้ จึงอาจใช้วิธีติดตามดูสถานการณ์ไปก่อน เมื่อไหร่ที่สถานการณ์ดูเลวร้ายและทำท่าลุกลามออกไปจนน่าเป็นห่วง ถึงตอนนี้คงได้เห็นการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นโดยการลดอัตรา ดอกเบี้ย เพราะถ้ารีบลดตอนนี้ มันเหมือนกับเป็นการยิงกระสุนออกไปก่อนที่ศัตรูจะมา นายกอบศักดิ์กล่าว 
      ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองนั้น ถ้าเกิดความรุนแรงคงกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยแค่ประมาณ 0.5-1% เท่านั้น

วิเคราะห์ข่าว : จากตัวเลขการส่งออกของภูมิภาคเอเชียที่ชะลอลง ทำให้หลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยทางประเทศไทยนั้น ยังไม่ถึงภาวะที่จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงเหมือนกับหลายประเทศ เพราะสถานการณ์ยังอยู่ในภาวะที่รับได้อยู่ ทั้งนี้ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้ธนาคารต่างๆ พอที่จะลดความกังวลไปได้

ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 3 (15-21 ก.ค. 2555)

 20 กรกฎาคม 2555
ธ.กรุงเทพไม่น้อยหน้าครึ่งปีแรกกำไรกว่า 1 หมื่น 6 พันล้าน
   
       ธนาคารกรุงเทพรายงานกำไรสุทธิ 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวน 16,958 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 สินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 และเงินฝากเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4  ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวน 16,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,083 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.2 จากช่วงเดียวกันปี 2554 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2,182 ล้านบาท รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 893 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1,466 ล้านบาท



         นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “ในปีนี้สินเชื่อของธนาคารมีการเติบโตดี โดยมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ สินเชื่อระยะยาวจากการขยายการลงทุนของภาคเอกชน สินเชื่อระยะยาวจากการฟื้นฟู กิจการที่ประสบอุทกภัย และสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตสินค้าตามฤดูการผลิตปกติและเพื่อชดเชยสินค้าที่เสียหาย



         ส่งผลให้สินเชื่อของธนาคารใน 6 เดือนแรกปี 2555 ขยายตัว 71,115 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.8จากสิ้นปีก่อน หรือร้อยละ 13.1 จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และเป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี และลูกค้าบุคคล”



         อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินให้สินเชื่อของธนาคารจะเติบโตสูงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ธนาคารยังคงให้ความสาคัญกับการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ทาให้ธนาคารสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 เท่ากับสิ้นปี 2554 และลดลงจากร้อยละ 3.0 ณ สิ้นปี 2553

          ขณะเดียวกัน ธนาคารมีการเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่อง โดยเน้นการระดมเงินฝากจากลูกค้ารายย่อย ทำให้ในครึ่งปีแรกธนาคารสามารถระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น 85,036 ล้านบาทหรือร้อยละ 5.4 จากสิ้นปี 2554 เงินฝากที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากความสัมพันธ์ที่ธนาคารมีมายาวนานกับลูกค้าทุกกลุ่ม ทำให้ธนาคารสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพตลาด

          ใน 6 เดือนแรกปีนี้ ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจานวน 27,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,182 ล้านบาทหรือร้อยละ 8.7 จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสินเชื่อของธนาคารที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีส่วนต่าง อัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงจากร้อยละ 2.69 ใน 6 เดือนแรกปี 2554 เป็นร้อยละ 2.63 ใน 6 เดือนแรกปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นและจากการที่ธนาคารมีค่าใช้จ่ายเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น

           ธนาคารมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจานวน 15,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 893 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.0 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากกาไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ ในส่วนของค่าใช้จ่ายจากการดาเนินงาน ธนาคารมีค่าใช้จ่ายจำนวน 18,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,466 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.7 จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน

           “ธนาคารคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการขยายการลงทุนของภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และการขยายการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในประเทศและไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของวิกฤตเศรษฐกิจโลก

วิเคราะห์ข่าว : จากข้าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ธนาคารกรุงเทพมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในด้านสภาพคล่อง เงินกองทุน และเงินสารองหนี้สงสัยจะสูญ รวมถึงการติดตามสถานการณ์และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าการดำเนินงานดังกล่าว จะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการที่เหมาะสมและเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้ธนาคารมีความพร้อมรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

6 กรกฎาคม 2555

ธ.กรุงเทพควง ธ.ไทยพาณิชย์ คว้ารางวัลธนาคารแห่งปี 2555 ข่าวเศรษฐกิจ



         ธ.กรุงเทพ ควง ธ.ไทยพาณิชย์ คว้ารางวัลธนาคารแห่งปี 2555 จากวารสารการเงินธนาคาร ด้านกสิกรไทยรั้งแชมป์ ธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อย ส่วนเอไอเอส ผงาดบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี
         เมื่อวันที่ 5ข่าวด่วนก.ค.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “Money & Banking Awards 2012” ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินธนาคารเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยธนาคารกรุงเทพและธนาคารไทยพาณิชย์ คว้าธนาคารแห่งปี 2555 ด้านธนาคารกสิกรไทย รั้งแชมป์ธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2555 ส่วนเอไอเอส แชมป์บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2555 พร้อมด้วย 25 สถาบันครองรางวัลบูธสวยงาม ในงาน Money Expo 2012
         นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานและบรรณาธิการวารสารการเงินธนาคาร เปิดเผยว่า วารสารการเงินธนาคาร จัดพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ MONEY & BANKING AWARDS 2012 ขึ้นในปีนี้เป็นปีที่ 5 เพื่อยกย่องธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทจดทะเบียนที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปีที่ผ่านมา ดังนี้ 1.รางวัลธนาคารแห่งปี 2555 (Bank of the Year 2012) เป็นรางวัลที่มอบให้กับธนาคารพาณิชย์ที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยมในรอบปี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในผลประกอบการและการบริหารจัดการ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
        2.รางวัลธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2555 (Best Retail Bank of the Year 2012) เป็นรางวัลที่มอบให้กับธนาคารที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากการสำรวจผู้เข้าชมงาน และใช้บริการทางการเงินในงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2012 ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
        3.รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2555 (Best Public Company of the Year 2012) เป็นรางวัลที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยม สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการของบริษัทในภาพรวม ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)

ที่มา:http://news.ohohey.com
วิเคราะห์ข่าว : รับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่ วารสารการเงินธนาคาร ได้จัดการมอบรางวัล “Money & Banking Awards 2012”  ขึ้นเพราะเป็นการให้กำลังใจและเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนภาคการเงินและภาคธุรกิจของไทยให้ก้าวหน้าไปสู่ความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการแข่งขัน อันจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 1 (1-7 ก.ค. 2555)

6 กรกฎาคม 2555

แบงก์พร้อม​เพิ่มกันสำรอง​เสริม​ความ​แข็ง​แกร่งตั้งรับผลกระทบวิกฤติยู​โรป



         นายชาติศิริ ​โสภณพนิช กรรม​การ​ผู้จัด​การ​ใหญ่ ธนาคารกรุง​เทพ(BBL) กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่าง​การวิ​เคราะห์ทิศทาง​และผลกระทบด้านต่างๆจากปัญหาวิกฤติ ยุ​โรป ​เพื่อหา​แนวทางป้องกัน ​แม้ว่า​เบื้องต้นยัง​ไม่พบลูกค้าธนาคาร​ได้รับผลกระทบ พร้อม​ทั้งจะมี​การทบทวน​ถึง​ความจำ​เป็นต่อ​การกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญ​ เพิ่ม​เติม
      ปัจจุบัน ธนาคารมี​การสำรองฯราว 1,500-1,800 ล้านบาทต่อ​ไตรมาส ​ซึ่งสามารถครอบคลุม​การขยายตัวสิน​เชื่อ​ใหม่​ได้​ทั้งหมด ประกอบกับธนาคาร​ใช้​ความระมัดระวัง​ใน​การควบคุมหนี้ที่​ไม่ก่อ​ให้​เกิด ราย​ได้(​เอ็นพี​แอล)​ให้อยู่ระดับต่ำด้วย
"​แบงก์ชาติ​ให้​เราดู​ความ​เหมาะสม​ใน​การตั้งสำรอง​เป็นระยะๆ ​ซึ่ง​เป็นสิ่งที่ดี ​เราประ​เมินตัว​เองอยู่ตลอด​เวลา ​โดยภาพรวม​แบงก์ส่วน​ใหญ่มีระดับ​เงินกองทุนต่อสินทรัพย์​เสี่ยงสูง ​โดย​เป็น​เงินกองทุนขั้นที่ 1 ​ถึง11%"นายชาติศิริ กล่าว
ขณะที่นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรม​การ​ผู้จัด​การ​ใหญ่ ธนาคาร​ไทยพาณิชย์(SCB) กล่าวว่า ​เศรษฐกิจ​ไทย ​โดย​เฉพาะ​การส่งออกคงจะ​ได้รับ​แรงกระ​แทกจากวิฤกติยุ​โรปอย่างชัด​เจน ตั้ง​แต่​ไตรมาส 4/55 ​เป็นต้น​ไปจน​ถึงปี 56 ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้อง​เตรียมตั้งรับ​และปรับตัว​ให้มี​ความ​แข็ง​แกร่ง ​ใน​แง่ของระบบธนาคารพาณิชย์​ไทย​แม้ว่ายังมี​ความ​แข็ง​แกร่ง ​แต่อาจถูกกระทบจากลูกค้าที่มีธุรกรรม​เกี่ยวข้องกับยุ​โรป​หรือต่างประ​เทศ ​ซึ่งธนาคารต้อง​เข้า​ไปบริหารจัด​การอย่าง​ใกล้ชิด
       นอกจากนั้น ยังต้องติดตามประ​เด็น​ความ​ไม่สงบ​การ​เมือง​ในประ​เทศด้วย ​เนื่องจากมีส่วนกระทบต่อ​ความ​เชื่อมั่น​การลงทุนของภาค​เอกชน​ซึ่งธนาคาร กังวลประ​เด็นนี้มาตลอด 6-7 ปีจน​ถึงปัจจุบัน
"​เราควรกังวล ​แต่​ไม่ควร Panic ​เรา​เริ่มถูกกระทบจากวิฤกติยุ​โรปช้ากว่าที่อื่น ดังนั้น​ก็ต้อง​เตรียมตั้งรับ​ให้ดี ​ซึ่ง​เศรษฐกิจ​ไทย​ก็มี​ความ​แข็ง​แกร่งพอควร ​แบงก์​และธุรกิจ​ก็ยัง​เป็นทิศทางทีดี"นางกรรณิกา กล่าว
​ทั้งนี้ ธนาคาร​ได้ปรับ​เพิ่ม​การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ​เป็น 500 ล้านบาทต่อ​เดือนจากปีก่อนที่มี​การกันสำรองราว 300 ล้านบาทต่อ​เดือน ​ทำ​ให้ระดับสำรองหนี้สูงกว่า​ถึง 130%​เพื่อ​เตรียม​ความพร้อม​เพื่อรับมือวิฤกติที่​เกิดขึ้น​และ​การขยายสิน ​เชื่อ ​ซึ่งมั่น​ใจว่ามี​ความ​เพียงพอ ​เนื่องจากควบคุมหนี้​เอ็นพี​แอล​ให้อยู่​ในระดับต่ำมาก

วิเคราะห์ข่าว : จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีปัญหา โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มยูโรโซน ทำให้ประเทศต่างๆ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเทศไทยก็เช่นกัน เพราะเรามีการทำธุรกิจ และส่งออกไปยังกลุ่มยูโรโซน จึงต้องพร้อมรับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอยุ่เสมอ ธนาคารกรุงเทพจึงได้มีการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญอยู่ราว1,500-1,800 ล้านบาทต่อไตรมาส ซึ่งสามารถครอบคลุม​การขยายตัวสิน​เชื่อ​ใหม่​ได้​ทั้งหมด อีกทั้งธนาคาร​ใช้​ความระมัดระวัง​ใน​การควบคุมหนี้ที่​ไม่ก่อ​ให้​เกิดราย​ได้(​เอ็นพี​แอล)​ให้อยู่ระดับต่ำด้วย ทั้งนี้ธนาคารก็ได้มีการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากผลกระทบจากกลุ่มยูโรโซนส่งผลมาที่ไทย ธนาคารก็พร้อมที่จะรับมือ

6 กรกฎาคม 2555


ธนาคารกรุงเทพ รับมอบรางวัล Bank of the Year ปีที่ 6 ติดต่อกัน พร้อมรางวัลบูธดีเด่นในงานมหกรรมการเงินครั้งที่ 12
       นาย ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารและพนักงานร่วมฉลองความสำเร็จและรับมอบรางวัล Money & Banking Awards 2012 ในสาขา "ธนาคารแห่งปี 2555 หรือ Bank of the Year 2012" ซึ่งเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และรางวัลดีเด่น บูธสวยงามประเภทพื้นที่ขนาดใหญ่ ในงาน Money Expo 2012 หรือมหกรรมการเงินครั้งที่ 12 จากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ วิริยะรังสฤษฏ์ ประธานจัดงาน โดยการประกาศยกย่องจากวารสารการเงินธนาคาร ด้วยความสามารถด้านผลการดำเนินงานที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิต่อหุ้นสูงเป็นอันดับ 1 จำนวน 14.48 บาท และมีกำไรสุทธิ 27,365 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.71% รวมทั้งมีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value) สูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ 123.24 บาท

วิเคราะห์ข่าวธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล “ธนาคารแห่งปี 2555 หรือ Bank of the Year 2012” โดยได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน  นอกจากนี้ยังมีผลการดำเนินงานที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นสูงเป็นอันดับ แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของธนาคารได้เป็นอย่างดี

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

5 กรกฎาคม 2555

'​โฆษิต'​ทำนาย ศก.​ไทย​โต 6%

        นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คงจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5-6% เพราะฐานการเติบโตในปีที่แล้วต่ำมาก เนื่องจากผลกระทบน้ำท่วม ทั้งนี้ถ้าการเติบโตในไตรมาสที่ 4 สามารถเติบโตได้เท่ากับไตรมาสที่ 3 ในปีที่แล้ว ก็ถือว่าเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตเลย
         สำหรับการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อการฟื้นฟูหลัง น้ำท่วม นายโฆสิต มองว่าคงจะไม่มีแรงกระตุ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง เพราะการใช้จ่ายคงจะหมดแล้วในครึ่งปีแรก หลังจากที่รัฐบาลได้เร่งการใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูน้ำท่วมมาระยะหนึ่ง แล้ว
อย่างไรก็ตาม การกู้เงินของภาครัฐเพื่อการลงทุนในโครงการต่างๆ ควรจะบรรจุอยู่ในงบประมาณประจำปี เพื่อให้สามารถตรวจสอบการใช้เงิน และให้สาธารณชนสามารถรับทราบความคืบหน้าของการใช้จ่าย เนื่องจากว่าการใช้เงินมีผลต่อสถานะการเงิน-การคลังของประเทศ เช่น สัดส่วนหนี้สาธารณะ
          "การลงทุนของรัฐที่ผ่านมา บางส่วนเกินความจำเป็นและไม่สมดุล เช่น การลงทุนทางด้านถนนในบางพื้นที่มากเกินความจำเป็น แต่การลงทุนเพื่อพัฒนาการขนส่งด้านรถไฟควรจะต้องลงทุนนานแล้ว การลงทุนทางด้านการขนส่งในกรุงเทพฯ มีมาก แต่ขาดการลงทุนเพื่อพัฒนาการขนส่งในเมืองหลัก เช่น การขนส่งในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้โครงการลงทุนต้องเป็นโครงการที่ดี สามารถเพิ่มสถานะของประเทศ และต้องมีการเตรียม การที่ดี ต้องมีความพร้อมในการลงทุน เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องมีการจัดทำความเป็นไปได้ของโครงการ ก่อน" นายโฆสิต กล่าว สำหรับการเติบโตทางด้านสินเชื่อของแบงก์ ประเมินว่า ควรจะเติบโตในระยะที่ใกล้เคียงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจคือ ประมาณ 6-8% ส่วนการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในอนาคต ควรจะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้โอกาสในเรื่องการลดต้นทุนการลงทุน เช่น ค่าแรง ทรัพยากร เนื่องจากเป็นข้อจำกัดด้านการลงทุนในประเทศไทย


ที่มา:http://jo.klongjan.com/go.phpto=http://www.ryt9.com/s/bmnd/1438735
บทวิเคาะห์ข่าว : นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ ได้ออกมาพูดถึงเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทยในปีนี้ ว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5-6%   ไม่ได้แปลว่าปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตมากนัก   เนื่องจากปีที่แล้วเศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำมาก   นอกจากนี้ยังพูดถึงการใช้จ่ายของรัฐที่บางส่วนเกินความจำเป็น และไม่สมดุล  รัฐควรลงทุนพัฒนาการขนส่งด้านรถไฟ เพื่อเพิ่มสถานะของประเทศ และต้องเตรียมการให้ดีก่อนลงทุน  ส่วนในการเติบโตทางด้านสินเชื่อของแบงค์จะเติบโตใกล้เคียงกับเศรษฐกิจ  และในส่วนของภาคธุรกิจไทยในอนาคต ควรลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดต้นทุนการลงทุน  
         การที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ได้ออกมาเสนอข้อคิดเห็นนั้น   ถือเป็นความเห็นมุมหนึ่งของประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ  ที่ได้ออกมาเพื่อให้ภาครัฐ และภาคธุรกิจ ได้รู้ และนำไปใช้ในการพัฒนาประทศ  และปรับปรุงข้อที่ผิดพลาด 


5 กรกฎาคม 2555

เงินบาทปิด 31.52/54 แกว่งแคบ นลท.รอผลประชุม ECB-ยอดว่างงานสหรัฐฯ
        
         นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.52/54 บาท/ดอลลาร์ เท่ากับช่วงเช้าที่เปิดตลาดในระดับเดียวกัน
         วันนี้เงินบาทแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ นักลงทุนต่างรอผลการประชุมเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป(ECB)คืนนี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 1% นอกจากนี้ตลาดยังรอดูทางฝั่งสหรัฐฯ ที่จะมีการประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ในคืนนี้ด้วยเช่นกัน
         "ตลาดรอดู ECB คืนนี้จะลดดอกเบี้ยลงตามที่คาดหรือไม่ จริงๆ ตลาดอยากให้ลดอยู่แล้ว เพราะจะช่วยให้ดอกเบี้ยอื่นๆ ปรับลดลงด้วย ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรป" นักบริหารเงิน ระบุส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 79.71/80 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2500/2515 ดอลลาร์/ยูโร
         นักบริหารเงิน คาดการณ์เงินบาทพรุ่งนี้มีโอกาสอ่อนค่า โดยมองกรอบไว้ที่ระดับ 31.40-31.80 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้


วิเคราะห์ข่าว : จากข่าวข้างต้นเป็นการพูดถึงค่าเงินบาทว่ามีการแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ นักลงทุนต่างรอผลการประชุมเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)  ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 1% นอกจากนี้ตลาดยังรอดูทางฝั่งสหรัฐฯ ที่จะมีการประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ในด้วยเช่นกัน  



วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

2 กรกฎาคม 2555

ธนาคารกรุงเทพ และ บางจากปิโตรเลียม ฉลองความสำเร็จการเสนอขายหุ้นกู้รวม 3,000 ล้านบาท



          นายคณิต สีห์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ซ้าย) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ขวา) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในโอกาสฉลองความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2555 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2562 และชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2565 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ในระดับ A- แนวโน้มคงที่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์และโครงการลงทุนอื่นๆ เสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ซึ่งเป็นนิติบุคคล โดยมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและนายทะเบียนหุ้นกู้ ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบันและสหกรณ์


ที่มา : http://www.ryt9.com/s/prg/1436521

บทวิเคราะห์ข่าว : ธนาคารกรุงเทพร่วมแสดงความยินดี   ในความสำเร็จการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยในการขายหุ้นกู้นั้นธนาคารกรุงเทพได้เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและนายทะเบียนหุ้นกู้  ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการให้บริการของธนาคารกรุงเทพด้วย